Welcome to Thai nursing time
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงที่สุดแนะผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรัง และประชาชนทั่วไป หลีกเลี่ยง 8 ประเภทอาหารมีโซเดียมเกินความจำเป็น พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลด หวาน มัน เค็ม เลี่ยงอาหารรสจัด ลดเสี่ยงเป็นโรคไต ทุกวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมีนาคมเป็นวันไตโลก (World Kidney Day 2023) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม 2566 รณรงค์ภายใต้แนวคิด “Kidney Health For All- preparing for the unexpected supporting the vulnerable” “ตระหนักภัย ใส่ใจไตป้องกันไว้ เน้นกลุ่มเสี่ยง”
สำหรับในประเทศไทย มีผู้ป่วยไตเรื้อรัง จำนวน 11.6 ล้านคน และมีจำนวนมากกว่า1 แสนคนที่ต้องล้างไต และจากรายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) พบว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงที่สุด ซึ่งการป้องกันโรคไตเริ่มต้นง่ายๆ แค่ลดการบริโภคโซเดียม และเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ ร่างกายคนเราควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่า เกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัม เมื่อเฉลี่ยแล้วไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร แต่ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มการบริโภคโซเดียมมากเกินไป อาจมาจากความชอบกินอาหารเค็ม ติดรสเค็ม หรือจากความไม่รู้ส่วนประกอบของปริมาณโซเดียมในอาหารประเภทนั้นๆ หากกินเค็มมากเกินไปเป็นระยะเวลานาน จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าการป้องกันผู้ป่วยภาวะไตเสื่อมหรือมีแน้วโน้มจะเสื่อม จากพฤติกรรมที่จะนำไปสู่โรคไตเรื้อรัง ควรบริโภคอาหารในปริมาณที่เหมาะสม โดยลดอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม โดยบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำมันไม่เกิน6 ช้อนชาต่อวัน และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน รวมทั้งหลีกเลี่ยง 8 ประเภทอาหารที่เสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมเกินคือ 1) อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ผงชูรส ผงปรุงรส ซุปก้อน ผงฟู ซอสต่างๆ 2) เนื้อสัตว์ปรุงรสหรือแปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง แฮม 3) อาหารที่มีส่วนผสมของเนยและครีม เช่น เค้ก พิซซ่า ขนมอบต่างๆ 4) หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องในสัตว์ เมล็ดถั่ว กุ้งแห้ง 5) อาหารหมักดอง เช่น ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักกาดดอง 6) เนื้อสัตว์ปรุงรสหรือแปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง แฮม หมูหยอง และอาหารเติมเกลือเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวต้มซอง โจ๊กซอง 7) ลดการกินเนื้อสัตว์ลงโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น คอหมูย่างเอ็นหมู เอ็นวัว ข้อไก่ และ 8) หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอล หรือไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไข่แดง ไข่ปลา ปลาหมึก หอยนางรม ขาหมู รวมทั้งอาหารที่มีส่วนผสมของเนย และครีม
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมีนาคมเป็น “วันไตโลก” จึงถือเป็นโอกาสดีที่จรณรงค์ให้คนไทยเกิดความตระหนักในการป้องกันโรคไต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรัประทานอาหาร การใช้ชีวิต การทำงาน หรือแม้แต่การต้องอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคไตเรื้อรังกว่า 11 ล้านคน แต่มีผู้ป่วยเพียง 1.9% ที่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคไตแล้ว ซึ่งโรคไตเป็นอาการหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณไตทำให้การทำงานเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายและการรักษาความสมดุลของเกลือ รวมถึงน้ำในร่างกายเกิดภาวะขัดข้อง ซึ่งโรคที่เกิดขึ้นกับไตมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ได้แก่ ไตวายฉับพลัน ไตวายเรื้อรังที่อาจเกิดจากโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เป็นบ่อยๆ โรคถุงน้ำที่ไต ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยครั้ง หรือเกิดจากการอุดตัน เช่น จากนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งมดลูกไปกดเบียดท่อไต เป็นต้น ซึ่งเมื่อป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังแล้วการทำงานของไตจะเสื่อมลงจนเข้าสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด
ด้านนายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคไตระยะเริ่มต้นมักจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน แต่จะมีอาการเมื่อเป็นมากแล้ว จึงพบว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่มีอาการไตเรื้อรังระยะที่รุนแรง ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยและเป็นสัญญาณแจ้งเตือนโรคไต คือ มีอาการซีด เพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปัสสาวะสีหรือกลิ่นผิดปกติปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน ปวดศีรษะ ตรวจพบความดันโลหิตสูง ตัวบวม เท้าบวม ปวดหลัง และปวดบั้นเอว ทั้งนี้ เมื่อเป็นมากขึ้นอาจทำให้เกิดอาการของไตวายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น การตรวจสุขภาพประจำปีทั้งการตรวจเลือดดูการทำงานของไตและการตรวจปัสสาวะถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง อาทิเช่น อายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง โรคภูมิคุ้มกันแพ้ภัยตัวเอง เช่น โรคลูปัส (SLE) โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือผู้ป่วยที่รับประทานยาที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต อาทิเช่น กลุ่มยาแก้ปวดชนิด NSAIDs ทานยาสมุนไพร หรือได้รับยาบำบัดทางเคมีบำบัดที่มีผลต่อไต เป็นต้น
แพทย์หญิงกรทิพย์ ผลโภค นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ งานโรคไต กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า เราควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำร้ายไต และหันมาดูแลสุขภาพตนเองให้ห่างไกลจากโรคไต ดังนี้ 1.ลดโซเดียม แนะนำบริโภค โซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ลดการปรุง เลิกผงชูรส หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป กึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อ่านฉลากโภชนาการบนผลิตภัณฑ์ 2.หลีกเลี่ยงยาแก้ปวด ยาชุด สมุนไพร หากมีความจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 3.ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ 5.งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 6.กลุ่มเสี่ยงโรคไต ต้องรักษาและควบคุมโรคให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันไตเสื่อม 7.รับการตรวจสุขภาพประจำปี คัดกรองโรคไต เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและมีอนามัยที่ดีอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามหากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยได้กำหนดประเด็นรณรงค์ คือ “Kidney Health For All- preparing for the unexpected, supporting the vulnerable :ตระหนักภัยใส่ใจไตป้องกันไว้เน้นกลุ่มเสี่ยง” โดย 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีการทำงานของไตผิดปกติ และพบว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 1 ล้านคน มีสาเหตุมาจากการไม่ได้เข้ารับการรักษาโรคไตวายเรื้อรังสำหรับประเทศไทยสถานการณ์ของโรคไตเรื้อรังใประชากรไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับเป็นปัญหาสาธารณสุขและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก จากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในปี 2565 พบว่า 1 ใน 25 ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง กลายเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังรายใหม่ มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 3 จำนวน 420,212 ราย ระยะ 4 จำนวน 420,212 ราย และระยะที่ 5 ที่ต้องล้างไตมากถึง 62,386 รายกรมควบคุมโรค จึงมุ่งเน้นการสร้างควาตระหนักให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควบคุมความดันโลหิตให้ดี เพื่อลดการเกิดผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังรายใหม่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี รวมถึงการใช้ยาไม่ถูกต้อง การรับประทานยาชุด ยาแก้ปวด ยาสมุนไพรบางชนิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน คนเราสามารถสูญเสียการทำงานของไตได้ถึง 90% ก่อนที่จะมีอาการใดๆ