Welcome to Thai nursing time
วิถีชีวิตอันเร่งรีบ การแข่งขัน ตลอดจนปัญหาทางสังคม ความเหลื่อมล้ำ ความรุนแรง ยาเสพติด ฯลฯ ส่งผลให้คนในสังคมเกิดภาวะเครียด และปัญหาด้านจิตใจมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจของสหประชาชาชาติ (UN) พบว่า ความสุข ของประเทศไทยกำลังลดลง จากรายงาน World Happiness Report ปี 2023 ที่ระบุว่า ค่าเฉลี่ยความสุขของ ประชากรไทยอยู่ในลำดับที่ 60 ของโลก หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างค่าเฉลี่ยช่วงปี 2562-2564 กับช่วงปี 2563-2566 จะพบว่า จากที่เคยอยู่ที่ 5.891 ได้ลดลงมาอยู่ที่ 5.8431 หากมองย้อนกลับมาที่สถานการณ์สุขภาพจิตคนไทย ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตมากถึง 256,000 คน และในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการ รักษามากถึง 28,775 คน2 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ทว่า ในแง่ของบุคลากรทางการแพทย์ด้านสุขภาพจิตกลับมีไม่เพียงพอ ปัจจุบันมีจิตแพทย์อยู่ประมาณ 845 คน คิดเป็น 1.28 คนต่อแสนประชากร นักจิตวิทยา (คลินิก) มีประมาณ 1,037 คน คิดเป็น 1.57 คนต่อแสนประชากร และพยาบาลจิตเวช 4,064 คน คิดเป็น 6.14 คนต่อแสนประชากรเท่านั้น 3 อัตราการป่วยไข้จนถึงขั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เพิ่มขึ้น ภายใต้ข้อจำกัดด้านบุคลากรทางการแพทย์ กำลังทำให้ปัญหานี้รุนแรงมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ลงได้คือการ ‘คัดกรอง สุขภาพจิต’ เพื่อดูแลอย่างเท่าทัน ป้องกันไม่ให้ต้องกลายเป็น ‘ผู้ป่วย’ ที่ถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล
ดังนั้นในฐานะหน่วยงานที่สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อให้เกิดการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในระบบสุขภาพสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.)จึงเข้ามาร่วมสนับสนุนงานวิจัย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการคิดค้นนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์(AI)ในรูปแบบของ แพลตฟอร์มสำหรับการสร้างเครื่องมือช่วยเหลือทางจิตใจ ด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์โต้ตอบอัตโนมัติ (แชทบอท)โดยมี ดร.กลกรณ์ วงศ์ภาติกะเสรีนักวิจัยเครือข่าย สวรส.จากศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพจิตประเทศไทย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหัวหน้าทีมวิจัยในการคิดค้นวิจัยนวัตกรรมในครั้งนี้ สำหรับงานวิจัยนี้เป็นการสร้างแพลตฟอร์ม AI เพื่อการสร้างแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ด้านสุขภาพจิตที สามารถรับข้อมูล ทำการวิเคราะห์ ตอบโต้ผ่านระบบแชทบอทกับคนได้ โดยมีระบบจัดเก็บข้อมูล, ระบบประเมินผลและระบบโต้ตอบเพื่อคุยบรรเทาปัญหาสุขภาพจิตในเบื้องต้น ทั้งนี้จุดเด่นคือทำให้องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลด้านสุขภาพจิตของประชาชน สามารถร่วมออกแบบข้อมูลและนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับ บริบทการดำเนินงานของหน่วยงานได้อย่างสะดวก ประหยัดงบประมาณ
นายกีรติ ปัทมเรขา นักวิจัยเครือข่าย สวรส.หนึ่งในทีมวิจัยโครงการนี้ กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และโรงเรียน กว่า 40 หน่วยงานได้นำไปใช้งานจริงแล้ว โดยบุคลากรด้านสุขภาพจิตของแต่ละ หน่วยงานสามารถพัฒนาแชทบอทบนแพลตฟอร์มนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ทำให้ประยุกต์ใช้ ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น
ดร.กลกรณ์ นักวิจัยเครือข่าย สวรส. ในฐานะหัวหน้าทีมนักวิจัย เล่าถึงที่มาของนวัตกรรมนี้ว่า ทีมนักวิจัยที่ ประกอบด้วยนักเทคโนโลยีและนักจิตวิทยา ได้ร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มกลางในการสร้างเครื่องมือสำหรับบำบัดจิตใจ ด้วยระบบ AI แชทบอท ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นสำหรับนักจิตวิทยาโดยเฉพาะ โดยสามารถออกแบบชุด บทสนทนาสุขภาพจิตที่ต้องการได้เอง ซึ่งจะตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการรักษาดูแล จากนั้น AI จะทำหน้าที่ประมวลชุดบทสนทนาเพื่อใช้โต้ตอบสนทนากับผู้ใช้ระบบ ทำให้นักจิตวิทยามีระบบแชทบอทที่ดูแล สุขภาพจิตได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้งนี้ แพลตฟอร์มกลางนี้ สามารถช่วยลดต้นทุนให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการมีระบบแชทบอทเพื่อเก็บ ข้อมูล และประเมินสุขภาพจิต ซึ่งหากจ้างบริษัทเอกชนสร้างระบบฯ ให้ จะมีค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท นอกจากนั้น ยังใช้งานง่าย บุคลากรด้านสุขภาพจิตไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมก็ใช้งานได้ เพราะเป็นแพลตฟอร์ม กลางที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถรับข้อมูลในรูปแบบ Drag & Drop ซึ่งสามารถส่งชุดข้อมูลที่เป็นแนวหัวข้อของบท สนทนาแต่ละรูปแบบเข้าไป ระบบก็จะประมวลผลและนำไปเป็นข้อมูลในแชทบอทที่เตรียมสำหรับใช้งานได้ต่อไป
ดร.กลกรณ์ย้ำด้วยว่า ปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆ นำแพลตฟอร์มกลางสำหรับการสร้างเครื่องมือบำบัด จิตวิทยาด้วยระบบ AI ไปใช้งานจริงแล้ว ซึ่งมีทั้งสถานพยาบาล สถาบันศึกษาทุกระดับ ขณะเดียวกันข้อมูลต่างๆ ก็มี การจัดเก็บอย่างถูกกฎหมายและมีความปลอดภัยที่ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพจิตประเทศไทย เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลและส่งกลับไปในแต่ละพื้นที่ที่ต้องการ รวมถึงเป็นข้อมูลสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสุขภาพจิตของประเทศด้วย ที่ผ่านมา สวรส.ได้สนับสนุนการวิจัยให้เกิดนวัตกรรมนี้ขึ้นมา โดยเฟสแรกมีการสนับสนุนจนเกิดเป็น แพลตฟอร์มกลางนี้ขึ้นมา และมีการนำไปทดลองใช้ ต่อมาในเฟสที่ 2 ซึ่งเป็นระยะปัจจุบัน สวรส. ก็ยังได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบเพิ่มเติม เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น และสนับสนุนให้แต่ละหน่วยงานนำไปใช้งานให้กว้างขวาง มากขึ้น จนทำให้ได้ข้อมูลด้านสุขภาพจิตจากหลายพื้นที่ และทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถนำข้อมูลที่ ประมวลผลได้ไปวางแผนดูแลและแก้ปัญหาด้านสุขภาพจิตของแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.กลกรณ์กล่าว
ด้านดร.จุไรรัตน์ พรมใจ ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่าปัญหาด้านสุขภาพจิตเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ในระบบการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งนับวันจะมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานวิจัยจึงเข้าไปมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้ เกิดการพัฒนาเชิงระบบ ทั้งในแง่ของการช่วยลดภาระบุคลากรด้านสุขภาพจิตที่ปัจจุบันยังไม่สามารถจัดการให้มี เพียงพอในระบบได้ และสนับสนุนให้นำนวัตกรรมงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการประมวลผลเพื่อนำมาวางแผนการดูแล สุขภาพจิตให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของแต่ละหน่วยงานมากขึ้น
สำหรับการสนับสนุนทุนวิจัยในระยะต่อไป สวรส.และทีมวิจัยจะเน้นไปที่การสร้างพื้นที่จังหวัดต้นแบบ ที่มีการนำแพลตฟอร์มกลาง ซึ่งเป็นระบบ AI แชทบอทนี้ ไปใช้ทั้งจังหวัด เพื่อให้สามารถวัดผลได้ว่า เมื่อมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเรื่องสุขภาพจิตแล้ว ภาพรวมในเรื่องของ การดูแลและให้บริการด้านสุขภาพจิตของทั้งจังหวัดจะเป็นอย่างไร ซึ่ง สวรส. และทีมวิจัย มุ่งหวังที่จะให้ข้อมูลด้าน สุขภาพจิตจากการใช้ระบบแพลตฟอร์มกลางที่เป็น AI แชทบอทของจังหวัดที่จะเป็นพื้นที่ตัวอย่าง เกิดการนำไปใช้ ในการจัดทำแผนหรือยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพจิตในระดับพื้นที่ให้เหมาะสมกับทุกช่วงวัยและเชื่อว่าหากมีพื้นที่ต้นแบบ ที่มีผลสำเร็จในการจัดการปัญหาสุขภาพจิตก็จะทำให้จังหวัดอื่นๆ สนใจและอยากนำระบบฯ นี้ไปใช้งานต่อไป
ข้อมูลจาก 1 (https://www.nationalhealth.or.th/sites/default/files/upload_files/1-3NHA16.pdf)
2 (https://dtc.dmh.go.th/)3(https://www.thaihealthreport.com/th/articles_detail.php?id=167)