Welcome to Thai nursing time
วันที่12กุมภาพันธ์พ.ศ.2567ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย นำคณะผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ ดร.จอส ฟอนเดลาร์ (Dr. Jos Vandelaer) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย คุณคยองซัน คิม (Ms.Kyungsun Kim) ผู้แทนยูนิเซฟประจำประเทศไทย คุณสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางในการพัฒนาความร่วมมือ สนับสนุนวาระแห่งชาติเรื่องการเพิ่มประชากรภายใต้นโยบายส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ และเยี่ยมชมคลินิกส่งเสริมการมีบุตร,ANC คุณภาพ/โรงเรียนพ่อแม่,ห้องคลอดคุณภาพ,Well child clinic, Day care ของโรงพยาบาลนครพิงค์ และหน่วยบริการของภาคีเครือข่าย
ประเทศไทยได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก 3 องค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA)องค์การอนามัยโลก (WHO Thailand) องค์การยูนิเซฟ (UNICEF Thailand) ทั้งด้านความร่วมมือทางวิชาการ และการขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มพื้นที่ห่างไกลและกลุ่มเปราะบาง ซึ่งการผลักดันให้การส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพเป็นวาระแห่งชาติครั้งนี้ สืบเนื่องจาก ในปี 2565 ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 485,085 ราย น้อยที่สุดในรอบกว่า 70 ปี และจำนวนการเกิดยังน้อยกว่าการตาย ทำให้จำนวนประชากรลดลงตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ยังพบว่าอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate) หรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยของหญิงไทยลดลงเหลือเพียง 1.08 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทนและมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ และหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป คาดการณ์ว่าในอีก 60 ปี ข้างหน้า จำนวนประชากรไทยจะลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 33 ล้านคน โดยวัยทำงานลดลงจาก 46 ล้านคน เหลือเพียง 14 ล้านคน ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีลดลงเหลือเพียง 1 ล้านคน ขณะที่ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างจำนวนประชากรมากขึ้น และเสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศในอนาคต
รัฐบาลไทยและกระทรวงสาธารณสุข ได้ผลักดันประเด็นการส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศเป็นวาระแห่งชาติได้ได้ในเดือนมีนาคมนี้ สาระสำคัญที่พิจารณาคือมาตรการส่งเสริมการมีบุตร ทั้งเรื่องความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก และการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์