Welcome to Thai nursing time
ประเทศไทยในขณะนี้อยู่ในช่วงรอยต่อของการปฏิรูประบบบริการสุขภาพครั้งใหญ่ การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บิ๊กล็อต 61 จังหวัด รวม 4,196 แห่ง กำลังนำพา ระบบสุขภาพปฐมภูมิ 1 ใน 6 พื้นที่จังหวัดนำร่อง (Sandbox) ภายใต้โครงการการศึกษาและพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพท้องถิ่นภายใต้บริบทการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยมี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สานพลังความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายใน จ.สงขลา ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)จังหวัดสงขลามีความโดดเด่น พื้นที่แห่งนี้เป็นน่าศึกษา”
นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ ระบุบนพื้นที่กว่า 7,300 ตารางกิโลเมตร ของ จ.สงขลา ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผสานความแตกต่างเข้าหากัน โดยเฉพาะในวันที่ อบจ.สงขลา มีวิสัยทัศน์ไปไกลว่าเพียงแค่การบริหารจัดการ รพ.สต. ให้อยู่รอดด้วยแล้ว การสานพลังจึงเป็นสิ่งจำเป็น จ.สงขลา ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพใน ‘ระดับอำเภอ’ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากสร้างเอกภาพระหว่างแต่ละอำเภอให้เกิดขึ้นได้ การจะขับเคลื่อเติมสุขโมเดล ได้เคยนำ อบจ.สงขลา บรรลุเป้าหมายสุขภาพดีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (สายด่วน 1669) ที่ได้รับถ่ายโอนศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ หรือกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพ สำหรับดูแลคนพิการ ไปจนถึงศูนย์บริบาล เพื่อดูแลผู้สูงอายุ และที่สำคัญภายใต้แนวคิดนี้ ในแง่วิชาการ ‘เติมสุขโมเดล’ ได้รับการถอดบทเรียนความสำเร็จออกมาให้เห็น โดย ผศ.ศดานนท์ วัตตธรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา หนึ่งในทีมวิจัยโครงการฯ ที่ได้ศึกษาบริบทความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างอำนาจหน้าที่ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อพัฒนากลไกความร่วมมือ ในพื้นที่นำร่อง (Sandbox) 6 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และสงขลา
เติมสุขโมเดล เป็นกลไกสำคัญที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากถ่ายโอน รพ.สต. ในเบื้องต้น เช่น จำนวนบุคลากรที่ไม่เพียงพอตามกรอบอัตรากำลัง เพราะบางแห่งมีพยาบาลวิชาชีพเพียงคนเดียว ฉะนั้นภายใต้โมเดลนี้ อบจ.สงขลา ก็มีการพยายามสร้างเครือข่ายในการดูแลสุขภาพขึ้นมาหรือในช่องว่างเรื่องทักษะของบุคลากรที่ถ่ายโอนฯ เพราะงานบางอย่างอาจไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่เดิม เช่น งานพัสดุ งานเอกสาร งานจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ ซึ่งภายใต้โมเดลเดียวกันนี้ ทาง อบจ.สงขลา มีการอบรมให้คำปรึกษาแก่ รพ.สต. ที่ถ่ายโอน เกี่ยวกับแนวปฏิบัติแนวทางการดำเนินงาน หรือในประเด็นการมีเครื่องมือ ยา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างไม่เพียงพอ อบจ.สงขลา ก็ได้ประสานกับโรงพยาบาลแม่ข่ายในการอุดช่องว่างดังกล่าว “ภายใต้กลไกเติมสุขโมเดลที่ช่วยผสานความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่าย ช่วยสนับสนุนให้ รพ.สต. ทำหน้าที่ดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนประชาชนไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงสังกัดหรือถ่ายโอนฯ
ก้าวต่อไปในการพัฒนา ‘เติมสุขโมเดล’ คือ การสร้าง “ศูนย์บริการเติมสุข” ที่จะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการเติมช่องว่างในระบบบริการที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างครบวงจร (one stop service) เช่น การรวมศูนย์สุขภาพ ที่มีทั้งคลินิกกายภาพ คลินิกผู้สูงอายุ ฯลฯ และศูนย์บริการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งจะช่วยเรื่องการปรับสภาพบ้าน แก้ไขปัญหาไม่ได้ค่าครองชีพ ฯลฯ รวมถึงมีภาพฝันปลายทางคือให้บริการต่างๆ เข้าถึงได้โดยให้ประชาชนใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการเข้ารับบริการ หรือ “one ID one stop service” นอกจากนี้จะมี “ศูนย์สร้างสุข” โดยจะอาศัยงบประมาณจากกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพมาหนุนเสริมการให้บริการเชิงรุก ซึ่งในนั้นอาจมีศูนย์กายอุปกรณ์ ศูนย์ซ่อมกายอุปกรณ์ ธนาคาร 1,000 เตียง การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และเพิ่มเติมเรื่องแพทย์แผนไทยเข้าไป สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา จะเป็นไปในทิศทางใดในรายละเอียดคนในท้องถิ่นจะต้องมาออกแบบร่วมกันต่อ โดย อบจ.สงขลา ตั้งงบประมาณก่อสร้างไว้ศูนย์ละ 5 แสน-1 ล้านบาท รวมถึงอนุมัติแผนการจัดทำเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้ ‘รพ.สต.รำแดง’ อ.สิงหนคร และ ‘รพ.สต.เกาะใหญ่’ อ.ควนเนียง ที่อยู่ในพื้นที่นำร่อง เป็นฐาน และสร้างกลุ่มเครือข่ายการให้บริการในชุมชน รวมถึงที่ขาดไม่ได้เลย คือการจัดระเบียบข้อมูลของทุกหน่วยงานให้เป็น ‘ฐานข้อมูล’ เดียวกัน ที่ตรงกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของทุกภาคส่วน
ฐิตารีย์ เชื้อพราหมณ์ รักษาการแทนผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.สงขลา เล่าว่า หลังจากที่หน่วยงานกว่า 30 แห่ง ของ 2 พื้นที่นำร่อง จ.สงขลา ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิจังหวัดสงขลา (MOU) เมื่อวันที่ 7-8 พ.ย. 2566 ซึ่งจัดขึ้นโดย สช. และจัดทำแผนปฏิบัติการปีงบฯ 2567 เบื้องต้นแล้ว ก็จะเข้าสู่การทำแผนปฏิบัติการสุขภาพระดับพื้นที่ที่เข้มข้นต่อไป “เราจะเลือกเติมเฉพาะที่เป็นช่องโหว่แต่ละพื้นที่ แต่แน่นอนว่าแต่ละที่อาจขึ้นรูปไม่เหมือนกัน เพราะมีสภาพปัญหาและต้นทุนทางสังคมที่แตกต่างกัน และหากแต่ละหน่วยงานช่วยกันเติมให้ตรงจุดมันจะเป็นภาพสมบูรณ์ ซึ่งการที่หน่วยงานในพื้นที่มาคุยกันจะตอบโจทย์พื้นที่ได้ไม่ยาก เพราะถ้าข้างล่างเชื่อมร้อยกันแน่นหนา ไม่ว่าข้างบนหรือส่วนกลางจะเป็นยังไง ข้างล่างเดินได้ภายใต้บริบทพื้นที่” ฐิตารีย์ ระบุฟากฝั่งประชาชน ชาคริต โภชะเรือง มูลนิธิชุมชนสงขลา และประธานสมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลา หนึ่งในผู้พัฒนาระบบเยี่ยมบ้านดูแลผู้สูงอายุ คนพิการ กลุ่มผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และกลุ่มเปราะบาง ทั้งจังหวัด ผ่านแอปพลิเคชัน imed @home บอกว่า หลังจากนี้จะผลักดันให้เกิด “แผนสุขภาพรายบุคคล” โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มผู้ป่วยเขาจะร่วมกับ อบจ.สงขลา ใช้ imed @home ที่มีระบบในการเชื่อมโยงระหว่างชุมชน และผู้ป่วย ให้เกิดดูแล ปรับพฤติกรรมกัน รวมถึงคัดกรองโรคกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ว่าสุขภาพตนเองดีขึ้นหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าหากเป็นสมาชิกกับระบบนี้ก็จะได้เห็นข้อมูลเชิงสถิติว่าในพื้นที่ว่าสุขภาพของใครเปลี่ยนไปอย่างไร โดยบทบาทตรงนี้ภาคประชาชนจะเป็นหน่วยงานหลักและทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ สำหรับปรับสภาพแวดล้อมระบบบริการ และแผนสุขภาพในแต่ละระดับนอกจากนี้ จะมีการเชื่อมร้อยเครือข่ายด้านสุขภาพที่ไม่ได้ทำงานกับ อบจ.สงขลา แต่เป็นพาร์ทเนอร์กับมูลนิธิชุมชนสงขลา เติมเข้าไปในพื้นที่นำร่อง เพื่อใช้เป็นฐานในการทำงานร่วมกัน